สวัสดีครับ ช่วงนี้กระแสเข้าป่ากำลังมาแรง ผมเองก็เพิ่งออกมาจากป่ามาเหมือนกัน
แต่ไม่ได้ไปเจอนกตัวหนึ่ง หรือเสือดำ แบบที่เขากำลังฮิต ๆ กันนะครับ
รอบนี้ผมบุกเข้าไปในผืนป่าฝน บนเกาะซีเบรุท ในประเทศอินโดนีเซีย ใช้เวลาทั้งสิ้น 7 วัน
ออกถ่ายภาพกันท่ามกลางสายฝน ลุยโคลน เดินฝ่าลำธาร ผจญกองทัพแมลง เพื่อเก็บภาพและเรียนรู้วิถีชีวิต
กิน อยู่ กับชาวเผ่าที่กำลังจะสูญหายไปอีกกลุ่มหนึ่ง
ชาวเผ่า "เมนตาไว" นักรบแห่งพงไพร ชนเผ่าโบราณผู้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มาหลายพันปีโดยที่ไม่ถูกรบกวนจากกาลเวลา
อุปกรณ์:
- Nikon D810
- AF-S NIKKOR 16-35mm f/4G
- AF-S NIKKOR 24-120mm f/4G
- AF-S NIKKOR 70-200mm f/2.8G ED VR II
- AF-S NIKKOR 35mm f/1.8G
- Flash/Strobe : Fokon SP360 2 ตัว
ชมรูปภาพอื่นๆ และติดตามผลงานได้ที่
https://www.facebook.com/jkboy.jatenipat
https://www.facebook.com/jkboyphoto/
ผมมีโอกาสได้ยินชื่อชนเผ่านี้ครั้งแรกจากเว็บไซต์ที่รวบรวมเรื่องแปลกทั่วโลก ที่เล่าถึงเรื่องราวของชนเผ่ากินคน
มนุษย์โบราณที่เหลาฟันให้แหลมคมเหมือนจระเข้ และสักตามตัวด้วยยางไม้
เลยเกิดความสนใจที่จะตามหาว่าชนเผ่านี้อยู่ที่ไหน แล้วเราจะเข้าไปหาพวกเขาได้อย่างไร
หลังจากทำการบ้านอยู่สักพัก เมื่อได้ข้อมูลพร้อม จึงรวบรวมสมาชิกเข้าไปเสี่ยงดวง และทำให้ได้รูปภาพเหล่านี้กลับมา
ชาว "เมนตาไว" เหมือนอาศัยอยู่ในยุคโบราณ ไม่มีไฟฟ้า ชีวิตล้วนอยู่กับธรรมชาติ
มีการดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย สร้างบ้านและทำของใช้จากไม้ไผ่และใบหญ้า
ผู้ชายมีหน้าที่ไปล่าสัตว์ นอกจากนั้นในหมู่บ้านยังมีหมอผีประจำเผ่า ทำหน้าที่รักษาผู้คนในหมู่บ้านและเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ
เหล่านักล่ายังคงเหลาฟันให้แหลมคมเพื่อใช้ในการฉีกเนื้อ และใช้ยางไม้พิษเพื่อฉาบบนลูกดอก
การออกล่าในผืนป่าที่ต้องการความเงียบ ไม่มีสิ่งใดยอดเยี่ยมไปกว่าธนู
และสำหรับชาวเมนตาไว "ลูกธนูอาบยาพิษ" คืออาวุธสังหารชั้นยอด ซึ่งสามารถล้มหมูป่าขนาดใหญ่ได้ภายในไม่กี่อึดใจ
ระหว่างถ่ายภาพ เพื่อนร่วมทริปผมคนหนึ่งได้ล้วงมือเข้าไปในกระบอกลูกธนู เพื่อหยิบออกมาจัดท่าให้แบบ
โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกธนูอาบยาพิษ ทำเอาชาวเผ่าแตกตื่นกันยกใหญ่ ซึ่งเพื่อนคนนี้เล่าให้ฟังภายหลังว่า พอรู้ว่าลูกธนูที่เกือบปักนิ้วนั้นมีพิษเท่านั้นแหละ แข้งขาอ่อน ใจตกไปอยู่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว เพราะถ้าต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ แค่เดินออกจากป่าก็น่าจะไม่ทันแล้ว
หอกเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ในการล่า ซึ่งเทคนิกการพุ่งหอกจะได้รับการสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น
สำหรับผู้หญิงในเผ่าจะนิยมใช้ตะแกรงล่อนหาปลาตามลำนํ้า และแต่งตัวคลุมช่วงล่างด้วยใบตองแห้ง ส่วนท่อนบนจะเปลือยไว้
การเดินทางเข้าไปหาพวกเขา เริ่มจากต้องนั่งเรือเฟอรี่ข้ามเกาะ ใช้เวลา 12 ชั่วโมง
จากนั้นต่อด้วยเรือไม้ขุด ล่องลัดเลาะไปตามลำคลองอีก 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการนั่งเรือที่ยาวนานมากที่สุดของผม
ผ่านแก่งหินและป่าดิบ ลุ้นทุกครั้งว่าเรือจะควํ่าไหมเมื่อเลี้ยวโค้ง จากนั้นเมื่อถึงชายป่าก็ต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าลุยโคลนเข้าไป
ซึ่งมีบางช่วงเป็นบ่อโคลนดูด หนึ่งในสมาชิกเดินทางได้บังเอิญพลัดตกลงไปในบ่อนี้จนจมครึ่งตัว กว่าจะดึงขึ้นมาเรียกได้ว่าทุลักทุเลเลยทีเดียว
ชาวเมนตาไวจะเดินทางติดต่อกันระหว่างเผ่าด้วยเท้า หรือผ่านทางลำนํ้าด้วยเรือไม้ขุดลำเล็กๆ บ้านแต่ละหลังจะตั้งอยู่ในป่า ห่างกันหลายกิโล
วิถีชีวิตของชาวเผ่านี้จึงมีความผูกพันกับป่าและสายนํ้าอย่างลึกซึ้ง
ชาวเผ่า "เมนตาไว" ยังคงบูชาภูติผีและยึดมั่นในธรรมชาติ มีความชำนาญในการสักลวดลายลงบนร่างกาย ติดต่อกับจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติผ่านทางหมอผี หัวกะโหลกต่างๆจะถูกใช้ในพิธีกรรมและแขวนไว้ตามบ้านเพื่อคุ้มครองอันตรายจากวิญญาณร้าย
พูดถึงเรื่องลึกลับในป่า ครั้งนี้ผมก็ได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองเช่นกัน
คืนหนึ่งขณะที่ทุกคนนอนหลับกันอยู่ในบ้านของชาวเผ่า
น่าจะราวๆ ตีสอง ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นเนื่องจากมีความรู้สึกว่ามีมือมาจับที่ข้อเท้า และมีเสียงเดินไปรอบ ๆ บ้านซึ่งถูกปิดสนิท
ลืมตาหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่พบเจอใคร
รุ่งเช้า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อคืนมีคนมาเดินในบ้าน และพี่ที่นอนมุ้งเดียวกันเล่าให้ฟังอีกว่า
เขาได้ฝันเห็นผู้หญิงคนนึงมายืนอยู่ที่ชายป่านอกบ้าน และชี้มือไปที่พุ่มไม้ด้วยความไม่พอใจ
คิดย้อนไปจึงนึกได้ว่า จุดนั้นเป็นบริเวณที่พวกผมใช้ปลดทุกข์กันนั่นเอง
รอยสักบนร่างนักรบ เอกลักษณ์ของชนเผ่าเมนตาไว
หัวหน้าเผ่าในรูปเล่าให้ผมฟังว่า การจะได้มาซึ่งรอยสักนั้น ในสมัยเมื่อ 30-40 ปีก่อนจะต้องสังหารศัตรูในการรบระหว่างเผ่า
ยิ่งฆ่าได้มาก จำนวนแถบที่ต้นแขนก็จะเพิ่มขึ้น ได้รับความนับถือจากคนในเผ่า
เนื่องด้วยสงครามระหว่างกลุ่มย่อยบนเกาะ ทำให้แต่ละกลุ่มจำเป็นต้องมีรอยสักเฉพาะตัวเพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มตนเอง เช่นเผ่าที่ผมมาเยือนในครั้งนี้ จะมีรอยสักรูปพระอาทิตย์อยู่บริเวณหัวไหล่ทั้งสอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงเผ่า Sakaliou นั่นเอง
หลังจากประเทศอินโดนิเซียประกาศอิสรภาพในปี คศ. 1950 รัฐบาลในขณะนั้นจึงได้เริ่มนโยบายจัดระเบียบชนเผ่าบนเกาะต่างๆ
เพื่อลดภาพความป่าเถื่อนและให้ประเทศดูมีความศิวิไลซ์มากขึ้น
ประเพณีท้องถิ่นของชาวเมนตาไวจึงโดนผลกระทบอย่างเต็มที่ การเหลาฟันให้แหลมคม การสักร่างกายหลังจากสังหารศัตรู
และเสื้อผ้าดั้งเดิมของชนเผ่าจึงถือเป็นเรื่องต้องห้ามและผิดกฎหมาย
ในปัจจุบัน รอยสักจะได้มาก็ต่อเมื่อมีการลักลอบสัก โดยการนำของบรรณาการให้หมอผีในเผ่า
ซึ่งทำให้รอยสักกลายเป็นเครื่องหมายแสดงความร่ำรวยอย่างหนึ่งไป
"Never forget to smile, even when life is hard"
ปัจจุบันจำนวนของชาวเมนตาไวที่ยังคงอาศัยอยู่ในป่า ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง
ลูกหลานรุ่นใหม่เบนหน้าเข้าสู่เมือง น้อยคนที่จะรับช่วงต่อจากบรรพบุรุษ
รอยสักและการเหลาฟันเริ่มเลือนหายไปจากฝืนป่า
โชคยังดีที่มีชนรุ่นใหม่ ตั้งปณิธานสืบทอด ความหวังและประเพณีของชนเผ่า
คำบอกเล่าและพิธีกรรมของผู้เฒ่าจึงได้ถ่ายทอดไปยังเมนตาไวเลือดใหม่เหล่านี้
ให้เติบโตและเดินไปบนรอยเท้าของบรรพบุรุษในป่าแห่งนี้ต่อไป
เด็กน้อยชาวเผ่าเมนตาไว นักล่าตัวน้อย ความหวังรุ่นต่อไปในการปกป้องผืนป่าและจิตวิญญาณแห่งนักรบ
ความเจริญของโลกภายนอกในปัจจุบัน ได้แผ่เข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
ชนเผ่าต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อุปกรณ์สมัยใหม่จึงถูกนำมาใช้มากขึ้น ไฟฉาย นาฬิกา และปืนเริ่มเป็นสิ่งจำเป็น
หากบ้านไหนมีจะถือว่าโก้หรู ซึ่งปัจจัยเหล่านี้คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมค่อย ๆ จางหายไป
การเดินทางครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่น่าจดจำ แม้ว่าจะต้องกิน อยู่ อย่างลำบาก ไม่มีห้องนํ้า
ต้องลงอาบนํ้าในลำคลอง เปียกปอนจากฝนที่ตกกระหน่ำเป็นวันๆ และมีอุปสรรคในเรื่องการสื่อสารเป็นตัวขวางกั้น
แต่เราก็ใช้ความเฮฮาและเป็นมิตรแบบไทยๆ เรียกรอยยิ้ม ความไว้วางใจ ประสานความสัมพันธ์กับชาวเผ่าได้สำเร็จ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามกระทู้จนมาถึงบรรทัดนี้
ยังมีอีกหลายชนเผ่าและเรื่องราวการเดินทางไปยังสถานที่แปลก ๆ ที่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง
แล้วพบกันในกระทู้หน้าครับ
JKboy
แถมท้ายด้วยเบื้องหลังการถ่ายภาพ
แต่ไม่ได้ไปเจอนกตัวหนึ่ง หรือเสือดำ แบบที่เขากำลังฮิต ๆ กันนะครับ
รอบนี้ผมบุกเข้าไปในผืนป่าฝน บนเกาะซีเบรุท ในประเทศอินโดนีเซีย ใช้เวลาทั้งสิ้น 7 วัน
ออกถ่ายภาพกันท่ามกลางสายฝน ลุยโคลน เดินฝ่าลำธาร ผจญกองทัพแมลง เพื่อเก็บภาพและเรียนรู้วิถีชีวิต
กิน อยู่ กับชาวเผ่าที่กำลังจะสูญหายไปอีกกลุ่มหนึ่ง
ชาวเผ่า "เมนตาไว" นักรบแห่งพงไพร ชนเผ่าโบราณผู้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มาหลายพันปีโดยที่ไม่ถูกรบกวนจากกาลเวลา
อุปกรณ์:
- Nikon D810
- AF-S NIKKOR 16-35mm f/4G
- AF-S NIKKOR 24-120mm f/4G
- AF-S NIKKOR 70-200mm f/2.8G ED VR II
- AF-S NIKKOR 35mm f/1.8G
- Flash/Strobe : Fokon SP360 2 ตัว
ชมรูปภาพอื่นๆ และติดตามผลงานได้ที่
https://www.facebook.com/jkboy.jatenipat
https://www.facebook.com/jkboyphoto/
ผมมีโอกาสได้ยินชื่อชนเผ่านี้ครั้งแรกจากเว็บไซต์ที่รวบรวมเรื่องแปลกทั่วโลก ที่เล่าถึงเรื่องราวของชนเผ่ากินคน
มนุษย์โบราณที่เหลาฟันให้แหลมคมเหมือนจระเข้ และสักตามตัวด้วยยางไม้
เลยเกิดความสนใจที่จะตามหาว่าชนเผ่านี้อยู่ที่ไหน แล้วเราจะเข้าไปหาพวกเขาได้อย่างไร
หลังจากทำการบ้านอยู่สักพัก เมื่อได้ข้อมูลพร้อม จึงรวบรวมสมาชิกเข้าไปเสี่ยงดวง และทำให้ได้รูปภาพเหล่านี้กลับมา
ชาว "เมนตาไว" เหมือนอาศัยอยู่ในยุคโบราณ ไม่มีไฟฟ้า ชีวิตล้วนอยู่กับธรรมชาติ
มีการดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย สร้างบ้านและทำของใช้จากไม้ไผ่และใบหญ้า
ผู้ชายมีหน้าที่ไปล่าสัตว์ นอกจากนั้นในหมู่บ้านยังมีหมอผีประจำเผ่า ทำหน้าที่รักษาผู้คนในหมู่บ้านและเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ
เหล่านักล่ายังคงเหลาฟันให้แหลมคมเพื่อใช้ในการฉีกเนื้อ และใช้ยางไม้พิษเพื่อฉาบบนลูกดอก
การออกล่าในผืนป่าที่ต้องการความเงียบ ไม่มีสิ่งใดยอดเยี่ยมไปกว่าธนู
และสำหรับชาวเมนตาไว "ลูกธนูอาบยาพิษ" คืออาวุธสังหารชั้นยอด ซึ่งสามารถล้มหมูป่าขนาดใหญ่ได้ภายในไม่กี่อึดใจ
ระหว่างถ่ายภาพ เพื่อนร่วมทริปผมคนหนึ่งได้ล้วงมือเข้าไปในกระบอกลูกธนู เพื่อหยิบออกมาจัดท่าให้แบบ
โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกธนูอาบยาพิษ ทำเอาชาวเผ่าแตกตื่นกันยกใหญ่ ซึ่งเพื่อนคนนี้เล่าให้ฟังภายหลังว่า พอรู้ว่าลูกธนูที่เกือบปักนิ้วนั้นมีพิษเท่านั้นแหละ แข้งขาอ่อน ใจตกไปอยู่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว เพราะถ้าต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ แค่เดินออกจากป่าก็น่าจะไม่ทันแล้ว
หอกเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ในการล่า ซึ่งเทคนิกการพุ่งหอกจะได้รับการสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น
สำหรับผู้หญิงในเผ่าจะนิยมใช้ตะแกรงล่อนหาปลาตามลำนํ้า และแต่งตัวคลุมช่วงล่างด้วยใบตองแห้ง ส่วนท่อนบนจะเปลือยไว้
การเดินทางเข้าไปหาพวกเขา เริ่มจากต้องนั่งเรือเฟอรี่ข้ามเกาะ ใช้เวลา 12 ชั่วโมง
จากนั้นต่อด้วยเรือไม้ขุด ล่องลัดเลาะไปตามลำคลองอีก 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการนั่งเรือที่ยาวนานมากที่สุดของผม
ผ่านแก่งหินและป่าดิบ ลุ้นทุกครั้งว่าเรือจะควํ่าไหมเมื่อเลี้ยวโค้ง จากนั้นเมื่อถึงชายป่าก็ต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าลุยโคลนเข้าไป
ซึ่งมีบางช่วงเป็นบ่อโคลนดูด หนึ่งในสมาชิกเดินทางได้บังเอิญพลัดตกลงไปในบ่อนี้จนจมครึ่งตัว กว่าจะดึงขึ้นมาเรียกได้ว่าทุลักทุเลเลยทีเดียว
ชาวเมนตาไวจะเดินทางติดต่อกันระหว่างเผ่าด้วยเท้า หรือผ่านทางลำนํ้าด้วยเรือไม้ขุดลำเล็กๆ บ้านแต่ละหลังจะตั้งอยู่ในป่า ห่างกันหลายกิโล
วิถีชีวิตของชาวเผ่านี้จึงมีความผูกพันกับป่าและสายนํ้าอย่างลึกซึ้ง
ชาวเผ่า "เมนตาไว" ยังคงบูชาภูติผีและยึดมั่นในธรรมชาติ มีความชำนาญในการสักลวดลายลงบนร่างกาย ติดต่อกับจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติผ่านทางหมอผี หัวกะโหลกต่างๆจะถูกใช้ในพิธีกรรมและแขวนไว้ตามบ้านเพื่อคุ้มครองอันตรายจากวิญญาณร้าย
พูดถึงเรื่องลึกลับในป่า ครั้งนี้ผมก็ได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองเช่นกัน
คืนหนึ่งขณะที่ทุกคนนอนหลับกันอยู่ในบ้านของชาวเผ่า
น่าจะราวๆ ตีสอง ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นเนื่องจากมีความรู้สึกว่ามีมือมาจับที่ข้อเท้า และมีเสียงเดินไปรอบ ๆ บ้านซึ่งถูกปิดสนิท
ลืมตาหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่พบเจอใคร
รุ่งเช้า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อคืนมีคนมาเดินในบ้าน และพี่ที่นอนมุ้งเดียวกันเล่าให้ฟังอีกว่า
เขาได้ฝันเห็นผู้หญิงคนนึงมายืนอยู่ที่ชายป่านอกบ้าน และชี้มือไปที่พุ่มไม้ด้วยความไม่พอใจ
คิดย้อนไปจึงนึกได้ว่า จุดนั้นเป็นบริเวณที่พวกผมใช้ปลดทุกข์กันนั่นเอง
รอยสักบนร่างนักรบ เอกลักษณ์ของชนเผ่าเมนตาไว
หัวหน้าเผ่าในรูปเล่าให้ผมฟังว่า การจะได้มาซึ่งรอยสักนั้น ในสมัยเมื่อ 30-40 ปีก่อนจะต้องสังหารศัตรูในการรบระหว่างเผ่า
ยิ่งฆ่าได้มาก จำนวนแถบที่ต้นแขนก็จะเพิ่มขึ้น ได้รับความนับถือจากคนในเผ่า
เนื่องด้วยสงครามระหว่างกลุ่มย่อยบนเกาะ ทำให้แต่ละกลุ่มจำเป็นต้องมีรอยสักเฉพาะตัวเพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มตนเอง เช่นเผ่าที่ผมมาเยือนในครั้งนี้ จะมีรอยสักรูปพระอาทิตย์อยู่บริเวณหัวไหล่ทั้งสอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงเผ่า Sakaliou นั่นเอง
หลังจากประเทศอินโดนิเซียประกาศอิสรภาพในปี คศ. 1950 รัฐบาลในขณะนั้นจึงได้เริ่มนโยบายจัดระเบียบชนเผ่าบนเกาะต่างๆ
เพื่อลดภาพความป่าเถื่อนและให้ประเทศดูมีความศิวิไลซ์มากขึ้น
ประเพณีท้องถิ่นของชาวเมนตาไวจึงโดนผลกระทบอย่างเต็มที่ การเหลาฟันให้แหลมคม การสักร่างกายหลังจากสังหารศัตรู
และเสื้อผ้าดั้งเดิมของชนเผ่าจึงถือเป็นเรื่องต้องห้ามและผิดกฎหมาย
ในปัจจุบัน รอยสักจะได้มาก็ต่อเมื่อมีการลักลอบสัก โดยการนำของบรรณาการให้หมอผีในเผ่า
ซึ่งทำให้รอยสักกลายเป็นเครื่องหมายแสดงความร่ำรวยอย่างหนึ่งไป
"Never forget to smile, even when life is hard"
ปัจจุบันจำนวนของชาวเมนตาไวที่ยังคงอาศัยอยู่ในป่า ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง
ลูกหลานรุ่นใหม่เบนหน้าเข้าสู่เมือง น้อยคนที่จะรับช่วงต่อจากบรรพบุรุษ
รอยสักและการเหลาฟันเริ่มเลือนหายไปจากฝืนป่า
โชคยังดีที่มีชนรุ่นใหม่ ตั้งปณิธานสืบทอด ความหวังและประเพณีของชนเผ่า
คำบอกเล่าและพิธีกรรมของผู้เฒ่าจึงได้ถ่ายทอดไปยังเมนตาไวเลือดใหม่เหล่านี้
ให้เติบโตและเดินไปบนรอยเท้าของบรรพบุรุษในป่าแห่งนี้ต่อไป
เด็กน้อยชาวเผ่าเมนตาไว นักล่าตัวน้อย ความหวังรุ่นต่อไปในการปกป้องผืนป่าและจิตวิญญาณแห่งนักรบ
ความเจริญของโลกภายนอกในปัจจุบัน ได้แผ่เข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
ชนเผ่าต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อุปกรณ์สมัยใหม่จึงถูกนำมาใช้มากขึ้น ไฟฉาย นาฬิกา และปืนเริ่มเป็นสิ่งจำเป็น
หากบ้านไหนมีจะถือว่าโก้หรู ซึ่งปัจจัยเหล่านี้คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมค่อย ๆ จางหายไป
การเดินทางครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่น่าจดจำ แม้ว่าจะต้องกิน อยู่ อย่างลำบาก ไม่มีห้องนํ้า
ต้องลงอาบนํ้าในลำคลอง เปียกปอนจากฝนที่ตกกระหน่ำเป็นวันๆ และมีอุปสรรคในเรื่องการสื่อสารเป็นตัวขวางกั้น
แต่เราก็ใช้ความเฮฮาและเป็นมิตรแบบไทยๆ เรียกรอยยิ้ม ความไว้วางใจ ประสานความสัมพันธ์กับชาวเผ่าได้สำเร็จ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามกระทู้จนมาถึงบรรทัดนี้
ยังมีอีกหลายชนเผ่าและเรื่องราวการเดินทางไปยังสถานที่แปลก ๆ ที่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง
แล้วพบกันในกระทู้หน้าครับ
JKboy
แถมท้ายด้วยเบื้องหลังการถ่ายภาพ
ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ
ตอบลบ