ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

MENTAWAI : วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า...จนได้พบชนเผ่าโบราณ

สวัสดีครับ ช่วงนี้กระแสเข้าป่ากำลังมาแรง ผมเองก็เพิ่งออกมาจากป่ามาเหมือนกัน 
แต่ไม่ได้ไปเจอนกตัวหนึ่ง หรือเสือดำ แบบที่เขากำลังฮิต ๆ กันนะครับ 

รอบนี้ผมบุกเข้าไปในผืนป่าฝน บนเกาะซีเบรุท ในประเทศอินโดนีเซีย ใช้เวลาทั้งสิ้น 7 วัน
ออกถ่ายภาพกันท่ามกลางสายฝน ลุยโคลน เดินฝ่าลำธาร ผจญกองทัพแมลง เพื่อเก็บภาพและเรียนรู้วิถีชีวิต
กิน อยู่ กับชาวเผ่าที่กำลังจะสูญหายไปอีกกลุ่มหนึ่ง 

ชาวเผ่า "เมนตาไว" นักรบแห่งพงไพร ชนเผ่าโบราณผู้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มาหลายพันปีโดยที่ไม่ถูกรบกวนจากกาลเวลา


อุปกรณ์:
- Nikon D810
- AF-S NIKKOR 16-35mm f/4G
- AF-S NIKKOR 24-120mm f/4G
- AF-S NIKKOR 70-200mm f/2.8G ED VR II
- AF-S NIKKOR 35mm f/1.8G
- Flash/Strobe : Fokon SP360 2 ตัว

ชมรูปภาพอื่นๆ และติดตามผลงานได้ที่
https://www.facebook.com/jkboy.jatenipat 
https://www.facebook.com/jkboyphoto/


ผมมีโอกาสได้ยินชื่อชนเผ่านี้ครั้งแรกจากเว็บไซต์ที่รวบรวมเรื่องแปลกทั่วโลก ที่เล่าถึงเรื่องราวของชนเผ่ากินคน 
มนุษย์โบราณที่เหลาฟันให้แหลมคมเหมือนจระเข้ และสักตามตัวด้วยยางไม้
เลยเกิดความสนใจที่จะตามหาว่าชนเผ่านี้อยู่ที่ไหน แล้วเราจะเข้าไปหาพวกเขาได้อย่างไร

หลังจากทำการบ้านอยู่สักพัก เมื่อได้ข้อมูลพร้อม จึงรวบรวมสมาชิกเข้าไปเสี่ยงดวง และทำให้ได้รูปภาพเหล่านี้กลับมา

ชาว "เมนตาไว" เหมือนอาศัยอยู่ในยุคโบราณ ไม่มีไฟฟ้า ชีวิตล้วนอยู่กับธรรมชาติ 
มีการดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย สร้างบ้านและทำของใช้จากไม้ไผ่และใบหญ้า 
ผู้ชายมีหน้าที่ไปล่าสัตว์ นอกจากนั้นในหมู่บ้านยังมีหมอผีประจำเผ่า ทำหน้าที่รักษาผู้คนในหมู่บ้านและเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ 



เหล่านักล่ายังคงเหลาฟันให้แหลมคมเพื่อใช้ในการฉีกเนื้อ และใช้ยางไม้พิษเพื่อฉาบบนลูกดอก



การออกล่าในผืนป่าที่ต้องการความเงียบ ไม่มีสิ่งใดยอดเยี่ยมไปกว่าธนู 
และสำหรับชาวเมนตาไว "ลูกธนูอาบยาพิษ" คืออาวุธสังหารชั้นยอด ซึ่งสามารถล้มหมูป่าขนาดใหญ่ได้ภายในไม่กี่อึดใจ

ระหว่างถ่ายภาพ เพื่อนร่วมทริปผมคนหนึ่งได้ล้วงมือเข้าไปในกระบอกลูกธนู เพื่อหยิบออกมาจัดท่าให้แบบ 
โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกธนูอาบยาพิษ ทำเอาชาวเผ่าแตกตื่นกันยกใหญ่ ซึ่งเพื่อนคนนี้เล่าให้ฟังภายหลังว่า พอรู้ว่าลูกธนูที่เกือบปักนิ้วนั้นมีพิษเท่านั้นแหละ แข้งขาอ่อน ใจตกไปอยู่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว เพราะถ้าต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ แค่เดินออกจากป่าก็น่าจะไม่ทันแล้ว



หอกเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ในการล่า ซึ่งเทคนิกการพุ่งหอกจะได้รับการสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น



สำหรับผู้หญิงในเผ่าจะนิยมใช้ตะแกรงล่อนหาปลาตามลำนํ้า และแต่งตัวคลุมช่วงล่างด้วยใบตองแห้ง ส่วนท่อนบนจะเปลือยไว้



การเดินทางเข้าไปหาพวกเขา เริ่มจากต้องนั่งเรือเฟอรี่ข้ามเกาะ ใช้เวลา 12 ชั่วโมง 
จากนั้นต่อด้วยเรือไม้ขุด ล่องลัดเลาะไปตามลำคลองอีก 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการนั่งเรือที่ยาวนานมากที่สุดของผม
ผ่านแก่งหินและป่าดิบ ลุ้นทุกครั้งว่าเรือจะควํ่าไหมเมื่อเลี้ยวโค้ง จากนั้นเมื่อถึงชายป่าก็ต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าลุยโคลนเข้าไป
ซึ่งมีบางช่วงเป็นบ่อโคลนดูด หนึ่งในสมาชิกเดินทางได้บังเอิญพลัดตกลงไปในบ่อนี้จนจมครึ่งตัว กว่าจะดึงขึ้นมาเรียกได้ว่าทุลักทุเลเลยทีเดียว

ชาวเมนตาไวจะเดินทางติดต่อกันระหว่างเผ่าด้วยเท้า หรือผ่านทางลำนํ้าด้วยเรือไม้ขุดลำเล็กๆ บ้านแต่ละหลังจะตั้งอยู่ในป่า ห่างกันหลายกิโล
วิถีชีวิตของชาวเผ่านี้จึงมีความผูกพันกับป่าและสายนํ้าอย่างลึกซึ้ง


ชาวเผ่า "เมนตาไว" ยังคงบูชาภูติผีและยึดมั่นในธรรมชาติ มีความชำนาญในการสักลวดลายลงบนร่างกาย ติดต่อกับจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติผ่านทางหมอผี หัวกะโหลกต่างๆจะถูกใช้ในพิธีกรรมและแขวนไว้ตามบ้านเพื่อคุ้มครองอันตรายจากวิญญาณร้าย

พูดถึงเรื่องลึกลับในป่า ครั้งนี้ผมก็ได้มีโอกาสสัมผัสด้วยตัวเองเช่นกัน

คืนหนึ่งขณะที่ทุกคนนอนหลับกันอยู่ในบ้านของชาวเผ่า
น่าจะราวๆ ตีสอง ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นเนื่องจากมีความรู้สึกว่ามีมือมาจับที่ข้อเท้า และมีเสียงเดินไปรอบ ๆ บ้านซึ่งถูกปิดสนิท
ลืมตาหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่พบเจอใคร

รุ่งเช้า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อคืนมีคนมาเดินในบ้าน และพี่ที่นอนมุ้งเดียวกันเล่าให้ฟังอีกว่า 
เขาได้ฝันเห็นผู้หญิงคนนึงมายืนอยู่ที่ชายป่านอกบ้าน และชี้มือไปที่พุ่มไม้ด้วยความไม่พอใจ
คิดย้อนไปจึงนึกได้ว่า จุดนั้นเป็นบริเวณที่พวกผมใช้ปลดทุกข์กันนั่นเอง 





รอยสักบนร่างนักรบ เอกลักษณ์ของชนเผ่าเมนตาไว

หัวหน้าเผ่าในรูปเล่าให้ผมฟังว่า การจะได้มาซึ่งรอยสักนั้น ในสมัยเมื่อ 30-40 ปีก่อนจะต้องสังหารศัตรูในการรบระหว่างเผ่า 
ยิ่งฆ่าได้มาก จำนวนแถบที่ต้นแขนก็จะเพิ่มขึ้น ได้รับความนับถือจากคนในเผ่า

เนื่องด้วยสงครามระหว่างกลุ่มย่อยบนเกาะ ทำให้แต่ละกลุ่มจำเป็นต้องมีรอยสักเฉพาะตัวเพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มตนเอง เช่นเผ่าที่ผมมาเยือนในครั้งนี้ จะมีรอยสักรูปพระอาทิตย์อยู่บริเวณหัวไหล่ทั้งสอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงเผ่า Sakaliou นั่นเอง



หลังจากประเทศอินโดนิเซียประกาศอิสรภาพในปี คศ. 1950 รัฐบาลในขณะนั้นจึงได้เริ่มนโยบายจัดระเบียบชนเผ่าบนเกาะต่างๆ 
เพื่อลดภาพความป่าเถื่อนและให้ประเทศดูมีความศิวิไลซ์มากขึ้น

ประเพณีท้องถิ่นของชาวเมนตาไวจึงโดนผลกระทบอย่างเต็มที่ การเหลาฟันให้แหลมคม การสักร่างกายหลังจากสังหารศัตรู 
และเสื้อผ้าดั้งเดิมของชนเผ่าจึงถือเป็นเรื่องต้องห้ามและผิดกฎหมาย





ในปัจจุบัน รอยสักจะได้มาก็ต่อเมื่อมีการลักลอบสัก โดยการนำของบรรณาการให้หมอผีในเผ่า 
ซึ่งทำให้รอยสักกลายเป็นเครื่องหมายแสดงความร่ำรวยอย่างหนึ่งไป



"Never forget to smile, even when life is hard" 


ปัจจุบันจำนวนของชาวเมนตาไวที่ยังคงอาศัยอยู่ในป่า ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง
ลูกหลานรุ่นใหม่เบนหน้าเข้าสู่เมือง น้อยคนที่จะรับช่วงต่อจากบรรพบุรุษ
รอยสักและการเหลาฟันเริ่มเลือนหายไปจากฝืนป่า

โชคยังดีที่มีชนรุ่นใหม่ ตั้งปณิธานสืบทอด ความหวังและประเพณีของชนเผ่า
คำบอกเล่าและพิธีกรรมของผู้เฒ่าจึงได้ถ่ายทอดไปยังเมนตาไวเลือดใหม่เหล่านี้
ให้เติบโตและเดินไปบนรอยเท้าของบรรพบุรุษในป่าแห่งนี้ต่อไป




เด็กน้อยชาวเผ่าเมนตาไว นักล่าตัวน้อย ความหวังรุ่นต่อไปในการปกป้องผืนป่าและจิตวิญญาณแห่งนักรบ

ความเจริญของโลกภายนอกในปัจจุบัน ได้แผ่เข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม 
ชนเผ่าต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อุปกรณ์สมัยใหม่จึงถูกนำมาใช้มากขึ้น ไฟฉาย นาฬิกา และปืนเริ่มเป็นสิ่งจำเป็น
หากบ้านไหนมีจะถือว่าโก้หรู ซึ่งปัจจัยเหล่านี้คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมค่อย ๆ จางหายไป



การเดินทางครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่น่าจดจำ แม้ว่าจะต้องกิน อยู่ อย่างลำบาก ไม่มีห้องนํ้า
ต้องลงอาบนํ้าในลำคลอง เปียกปอนจากฝนที่ตกกระหน่ำเป็นวันๆ และมีอุปสรรคในเรื่องการสื่อสารเป็นตัวขวางกั้น
แต่เราก็ใช้ความเฮฮาและเป็นมิตรแบบไทยๆ เรียกรอยยิ้ม ความไว้วางใจ ประสานความสัมพันธ์กับชาวเผ่าได้สำเร็จ


สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามกระทู้จนมาถึงบรรทัดนี้ 

ยังมีอีกหลายชนเผ่าและเรื่องราวการเดินทางไปยังสถานที่แปลก ๆ ที่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง

แล้วพบกันในกระทู้หน้าครับ

JKboy


แถมท้ายด้วยเบื้องหลังการถ่ายภาพ




ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

20 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ แบบไปเช้า-เย็นกลับ วันเดียวก็สนุกได้

           ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ แบบไปเช้า-เย็นกลับ โปรแกรมเที่ยวง่าย ๆ ใช้เวลาไม่เยอะ ให้คุณได้มีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันกับเพื่อน ครอบครัว และคนรัก            เมื่อเราพูดถึง " ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ " หลายคนอาจนึกไม่ออกว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วใกล้กรุงเทพฯ ยังมีที่เที่ยวเจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่อีกเพียบ ทั้งที่เที่ยวเชิงธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ ตลาดน้ำ หรือจะเป็นกิจกรรมไหว้พระ วันนี้เราเลยไม่พลาดขอแนะนำ ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ แบบไปเช้า-เย็นกลับ  มาฝาก เอาไว้เป็นโปรแกรมเที่ยวง่าย ๆ ที่จะควงแขนเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก มาเที่ยวสนุก ๆ ถ่ายรูปเพลิน ๆ ตลอดทั้งวัน 1.  บางกะเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ             ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง สถานที่ฟอกปอดที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวพักผ่อนแบบชิล ๆ พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ซึ่งภายหลังจากมีการพัฒนาให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ พร้อมกับมีเส้นทางจักรยานให้ได้ไปปั่นชมธรรมชาติ ยิ่งกระตุ้นต่อมให้อยากออกไปสัมผัสบางกะเจ้ามากยิ่งขึ้น ภายในมีแหล่งท่องเที่ยวให้นักท่

30 สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดระยอง เมืองน่ารักที่อยากให้ไปเยือน

           สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดระยอง เหมาะแก่การไปพักผ่อนช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่ไม่ควรมองข้าม            จังหวัดระยอง เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยว เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีท้องทะเลสวย ๆ ให้ได้ไปเอาตัวแช่น้ำ มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอื่น ๆ ให้เราไปค้นหาและพักผ่อนอีกเพียบ วันนี้เราจึงได้รวบรวม  30 สถานที่ท่องเที่ยวระยอง  มาฝากกัน เป็นที่เที่ยวระยองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสวย ๆ บรรยากาศดี ๆ บอกเลยว่าถ้าได้ลองไปแวะชมจะต้องฟินแน่นอน 1. ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช           ก่อนอื่นขอเชิญไปสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่บนถนนตากสิน ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง เป็นศาลเก่าแก่ที่มีต้นสะตือขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า สะตือต้นนี้คาดว่ามีอายุกว่า 300 ปีแล้ว และมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงนำช้างมาผูกไว้ที่ใต้ต้นสะตือนี้ เมื่อครั้งเสด็จผ่านระยองเพื่อไปรวบรวมไพร่พลและตั้งทัพเตรียมกู้อิสรภาพที่จันทบุรีนั่นเอง ภายในศาลเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยืนพร